บุรุษชุดรัดกุม ยืนจิบสุรา สายตามองออกไปสู่ท้องทะเลสาบ
มันคล้ายจมกับห้วงคิดคำนึงอันลึกล้ำ และคล้ายกับรอสิ่งใดอยู่
ทันใดนั้น ในสายฝนพลันแว่วเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ดวงตาของบุรุษหนุ่มเปล่งประกายเจิดจ้า
คล้ายดั่งคนที่มันรอมานานคอยได้มาถึงแล้ว
ชายกลางคนสีหน้าแย้มยิ้มผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้น มือซ้ายถือร่มกระดาษ มือขวาถือขลุ่ยไม้
บุรุษหนุ่มยังนิ่งเฉย ประกายตามีแววผิดหวัง
ชายกลางคน เอ่ยขึ้น ใครๆเรียกข้าว่า เถ้าแก่เจี่ย ท่านคือคุณชายเหลียงใช่หรือไม่ บุรุษหนุ่ม รับ คำดัง อือม เบาเบา
คุณหนูฝากข้ามาบอกว่า "รักจากใจแต่ไร้วาสนา ท่านจงกลับไปเสียเถิด"
บุรุษหนุ่ม พูดขึ้น "ข้าไม่เชื่อเจ้า นางนัดข้ามาเองเพื่อพานางจากไป"
เถ้าแก่เจี่ย เอ่ยขึ้น คุณหนูดั่งบุปผาสูงศักดิ์ไหนเลยจริงจังกับคนพเนจรไร้รากดั่งท่าน
บุรุษหนุ่ม พูดขึ้น "ข้าจะไปรับนางที่หมู่ตึกของเจ้าเอง ขอให้แจ้งประมุขท่านด้วย"
เถ้าแก่เจี่ย จึงกล่าวว่า นายท่านคิดไว้แล้ว ท่านบอกว่าหากคุณชายมิรับฟังก็ขอฝาก
กระบวนท่าท่าหนึ่งมาให้ท่าน กล่าวจบ เถ้าแก่เจี่ยก็ใช่ขลุ่ยในมือสะบัดออกเป็นกระบวนเพลงกระบี่ท่าหนึ่ง
เพลงกระบี่นี้ช่างคล้ายสายลมวสันต์อันอ่อนละมุน ที่โชยพัดอย่างแช่มช้า ครอบคลุมทุกสิ่ง มิอาจหลบรอด
มิอาจแข็งขืน ผนึกรวมเป็นส่วนหนึ่งของพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด ดูงดงามอ่อนช้อยไร้กลิ่นไอการฆ่าฟันโดยสิ้นเชิง
สีหน้าของบุรุษหนุ่มเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเพลงกระบี่นี้ ตัวมันนับว่าท่องเที่ยวในยุทธจักรมานานปี พบเห็นเพลงกระบี่เจ็ดสำนักใหญ่ และยอดคนจำนวนมาก รวมทั้งวิชาเร้นลับแห่งธิเบตและนอกกำแพงใหญ่ แต่มันเพิ่งเคยเห็นเพลงกระบี่ที่งดงามและน่ากลัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ในบัดนั้นมันคิดไม่ออกว่ามีวิทยายุทธใดจะทนต่อการจู่โจมด้วยเพลงกระบี่นี้ได้ มีแต่ต้องทิ้งอาวุธขอความปราณีเท่านั้น มินับว่าเพลงกระบี่นี้ใช้ออกมาโดยพ่อบ้านเล็กๆใน ตระกูลเท่านั้น
บุรุษหนุ่มเ่อยขึ้นอย่างแช่มช้า "เพลงกระบี่เทพเจ้าแห่งหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า สมเป็นเพลงกระบี่เทพเจ้าไร้ต่อต้านจริงจริง"
เถ้าแก่เจี่ย เอ่ยขึ้นว่า หน้าที่ของข้าแค่เพียงส่งข่าวให้คุณชายเท่านั้น ขอให้ท่านโชคดีในการเดินทาง มันพูดจบก็กางร่มและเดินจากไปท่ามกลางสายฝน
*************
อรุณรุ่งที่งดงาม สายลมอ่อนโยนพัดพริ้วผ่านป่าไผ่ริมทะเลสาบ
หน้าตึกตระกูลเจี่ย บุรุษหนุ่มในชุดรัดกุมปรากฏกายขึ้น จากนั้นมันเดินไปเคาะประตูอย่างช้าๆ
ที่นี่ คือ หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจเสียมารยาทได้
ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า เถ้าแก่เจี่ยปรากฎกายขึ้น สายตามองมาที่บุรุษหนุ่ม
แล้วทักทายว่า ท่านยังไม่จากไปอีกหรือ บุรุษหนุ่มกล่าวเสียงหนักแน่นว่า
ข้ามิอาจจากไปหากมิได้พบนาง ถึงแม้ว่าจะมาหาที่ตายก็ตาม
เถ้าแก่เจี่ยพูดเบาๆ ว่า ตามข้ามา พลางหันหลังเดินกลับไปในหมู่ตึก ชายหนุ่ม
เดินตามไปจนถึงห้องโถงใหญ่ ปลายสุดห้องโถงมีชายชราท่านหนึ่งคุกเข่าหน้าตั่งอันหนึ่ง
ข้างกายมีเด็กน้อยหน้าตาสดใสยืนอยู่ข้างๆ เมื่อก้าวเขาไปใกล้ มันจึงเห็นว่า
บนตั่งนอนไว้ด้วยสตรีนางหนึ่ง คล้ายหลับไหลอย่างมีชีวิตชีวา สตรีนางนี้นับเป็นสตรีที่
งดงามสุดหล้าฟ้าดิน ในมือนางกำพัดอันหนึ่งห้อยลงข้างกาย บนพัดเขียนอักษรหวัดที่งดงามว่า
"รักแท้จากใจ แต่ไร้วาสนา"
ชายชรากล่าวโดยไม่ได้หันหน้ามาว่า นางจากไปแล้ว มีเพียงความตายเท่านั้นที่ทำให้นางเป็นอิสระได้
บุรุษหนุ่มนิ่งอยู่สักพัก แล้วถามว่า พวกข้าทำผิดเช่นไร ไยต้องบีบคั้นนางถึงเพียงนี้
ชายชราพูดว่า "พวกเราไม่ได้บีบคั้นนาง ข้าเพียงถามว่า
ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าเป็นธิดาตระกูลเจี่ยหรือไม่"
สิ่งนี้ คือ ทางเลือกของนางเอง
บุรุษหนุ่มกล่าวช้าๆ ว่า "พวกท่านมิควรปล่อยให้ข้ารอดออกไปจากหมู่ตึกในวันนี้ เพราะข้าสาบานว่า
สักวันหนึ่งข้าจะล้มล้างหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ใช้เลือดของท่านเซ่นสังเวยแด่นาง"
ชายชราหันกลับมามอง ใบหน้าท่าน คือ ชายชราที่ดูธรรมดา ในชุดสมถะ ใบหน้าเศร้าหมอง
ท่านเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วยกมือขึ้น ท่วงท่าท่านแช่มช้าเป็นธรรมชาติ ไร้สภาวะ
ไร้รูปลักษณ์ ดูไปไม่รวดเร็วเท่าไรนัก
บุรุษหนุ่มพบว่าไม่ว่าขยับร่างไปทิศใดล้วนมิอาจหลบรอดจากท่วงท่านี้ได้
ชายชรา เอามือวางบนบ่าของบุรุษหนุ่ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า "ข้าเองก็เสียใจนัก ข้าจะรอเจ้า"
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เงียบๆ ก็ก้าวเข้ามา และพูดว่า
"ข้า คือ คุณชายสามแห่งตระกูลเจี่ย เจ้าทำร้ายพี่สาวข้า สักวันหนึ่งข้าจะหาเจ้าให้พบและส่งท่านไปขออภัยจากนาง ด้วยมือข้าเอง"
ชายชรา ตะโกนขึ้น "เถ้าแก่เจี่ย ให้คนพาซาเสียวเอี้ย ไปพักผ่อน และส่งแขกด้วย"
เถ้าแก่เจี่ย หันไปสั่งให้คนพาคุณชายสามออกไป และเดินนำชายหนุ่มไปส่งออกจากหมู่ตึก
**************
พิรุณโปรยกระหนำ่ ศาลาน้อยริมทะเลสาบ
บุรุษชุดรัดกุม ยืนจิบสุรา สายตามองออกไปสู่ท้องทะเลสาบ
มันคล้ายจมกับห้วงคิดคำนึงอันลึกล้ำ
"เพลงกระบี่เช่นนี้ เฉกเทพเจ้าจุติ ไหนเลยมนุษย์จะทำลายได้ ไหนเลยเราจะล้างแค้นได้"
แต่มันไม่ยอมแพ้ ตัวมันนับเป็นอัจฉริยที่สุดยอดคนหนึ่งในยุทธจักรยุคนี้
ตั้งแต่ออกสู่ยุทธจักร ไม่เคยเผชิญคู่มือเปรียบติด
วิทยายุทธที่มันใช้ออกล้วนเป็นมันบัญญัติขึ้น จากธรรมชาติ จากวิทยายุทธสำนักอื่น
ผสานกับจินตนาการอันเลิศล้ำของมันเอง
มัน ครุ่นคิด กระบี่เคลื่อนเป็นเส้นตรงจู่โจม มีแต่บัญญัติเพลงอาวุธที่เคลื่อนเป็นวงโค้ง
จึงจะสะกดได้ มันนึกถึงอาวุธประหลาดที่มันได้มาใหม่ จากแดนทะเลทราย ดาบโค้งเรียวดั่งวงพระจันทร์
และกระบวนท่าดาบที่ประหลาดล้ำจากแนวทางของตงง้วนโดยสิ้นเชิง
มันเอื้อมมือไปในห่อผ้า ดึงดาบโค้งออกมาถือ ในใจจินตนาการถึงเพลงกระบี่ที่เถ้าแก่เจี่ยแสดงให้ดู
ทันใดนั้น มันเริ่มร่ายรำ เพลงดาบที่แปลกพิสดารออกมาชุดหนึ่ง
รอบกายมันเปล่งประกายราวแสงจันทร์ วิถีดาบคดเคี้ยวหมุนวนรอบกาย จนไร้ช่องว่าง
ทันใด นั้น มีเสียงควับ แลไปเห็นดาบจมลึกในเสาไม้ บุรุษหนุ่มคุกเข่ากับพื้น รำพึงว่า ยังไม่พอ
เพลงกระบี่นั้นยังทำลายดาบเราได้ ขาดอะไรบางอย่าง
ชายชรา ตะโกนขึ้น "เถ้าแก่เจี่ย ให้คนพาซาเสียวเอี้ย ไปพักผ่อน และส่งแขกด้วย"
เถ้าแก่เจี่ย หันไปสั่งให้คนพาคุณชายสามออกไป และเดินนำชายหนุ่มไปส่งออกจากหมู่ตึก
**************
พิรุณโปรยกระหนำ่ ศาลาน้อยริมทะเลสาบ
บุรุษชุดรัดกุม ยืนจิบสุรา สายตามองออกไปสู่ท้องทะเลสาบ
มันคล้ายจมกับห้วงคิดคำนึงอันลึกล้ำ
"เพลงกระบี่เช่นนี้ เฉกเทพเจ้าจุติ ไหนเลยมนุษย์จะทำลายได้ ไหนเลยเราจะล้างแค้นได้"
แต่มันไม่ยอมแพ้ ตัวมันนับเป็นอัจฉริยที่สุดยอดคนหนึ่งในยุทธจักรยุคนี้
ตั้งแต่ออกสู่ยุทธจักร ไม่เคยเผชิญคู่มือเปรียบติด
วิทยายุทธที่มันใช้ออกล้วนเป็นมันบัญญัติขึ้น จากธรรมชาติ จากวิทยายุทธสำนักอื่น
ผสานกับจินตนาการอันเลิศล้ำของมันเอง
มัน ครุ่นคิด กระบี่เคลื่อนเป็นเส้นตรงจู่โจม มีแต่บัญญัติเพลงอาวุธที่เคลื่อนเป็นวงโค้ง
จึงจะสะกดได้ มันนึกถึงอาวุธประหลาดที่มันได้มาใหม่ จากแดนทะเลทราย ดาบโค้งเรียวดั่งวงพระจันทร์
และกระบวนท่าดาบที่ประหลาดล้ำจากแนวทางของตงง้วนโดยสิ้นเชิง
มันเอื้อมมือไปในห่อผ้า ดึงดาบโค้งออกมาถือ ในใจจินตนาการถึงเพลงกระบี่ที่เถ้าแก่เจี่ยแสดงให้ดู
ทันใดนั้น มันเริ่มร่ายรำ เพลงดาบที่แปลกพิสดารออกมาชุดหนึ่ง
รอบกายมันเปล่งประกายราวแสงจันทร์ วิถีดาบคดเคี้ยวหมุนวนรอบกาย จนไร้ช่องว่าง
ทันใด นั้น มีเสียงควับ แลไปเห็นดาบจมลึกในเสาไม้ บุรุษหนุ่มคุกเข่ากับพื้น รำพึงว่า ยังไม่พอ
เพลงกระบี่นั้นยังทำลายดาบเราได้ ขาดอะไรบางอย่าง
มันรำพึงขึ้น
"เพลงกระบี่นั้น คือ พลังแห่งธรรมชาติ พลังแห่งชีวิต มีเพียงพลังแห่งความตายเท่านั้น ที่จะทำลายพลังชีวิตนั้นได้"
ฉับพลัน มันคล้ายนึกสิ่งใดออก เห็นดาบพุ่งจากเสาไม้กลับไปสู่มือมันอย่างพิสดาร มันยกดาบออกแล้ววาดเป็นวงโค้งอย่างช้าๆ ดาบนี้ดูไปแล้วไร้พลังไร้ประกาย ทันใดนั้นในเก๋งทุกสิ่งคล้ายหยุดเคลื่อนไหว ไร้ชีวิตดั่งความตายย่างเข้ามา อากาศคล้ายดั่งเยือกเย็นลงจนไร้ชีวิต มันใช้ดาบโค้งฟันออกช้าๆ บัดนั้น ดาบกลับสั่นไหวคล้ายมีชีวิตของมันเอง เสียงดังขึ้นอีกครั้ง เห็นดาบถูกสะบัดออก หมุนวนกลับไปปักเสาไม้เช่นเดิม
บุรุษหนุ่ม คุกเข่าลงกับพื้น สีหน้าทอดอาลัย "นับว่าเพลงดาบนี้สามารถเสี่ยงชีวิตได้สักครั้งแล้ว แต่เมื่อไร้ชีวิต ไร้จิตใจ ไม่อาจควบคุมบังคับ นับว่าขัดหลักแห่งฟ้าดิน เกรงว่าเมื่อใช้ออก เราเองคงต้องล้มลงใต้คมดาบนี้ เช่นนี้จะล้างแค้นได้อย่างไร" ทันใดนั้นเอง ราวกับความโศกเศร้าทั้งโลกหล้าทับถมเข้ามา มันล้มกายลงนอนช้าๆ รู้สึกไม่อยากลุกขึ้นมาอีก ในใจนึกถึงนาง นึกถึงวันแรกที่พบพานนางเพราะมันเข้ามาหลบฝนที่เก๋งแห่งนี้ นางถือถ้วยสุราในมือ จิบช้าๆ มองสายฝน ช่างงดงามดั่งภาพวาด ที่แฝงความรันทดจนหัวใจสลาย
บุรุษหนุ่ม คุกเข่าลงกับพื้น สีหน้าทอดอาลัย "นับว่าเพลงดาบนี้สามารถเสี่ยงชีวิตได้สักครั้งแล้ว แต่เมื่อไร้ชีวิต ไร้จิตใจ ไม่อาจควบคุมบังคับ นับว่าขัดหลักแห่งฟ้าดิน เกรงว่าเมื่อใช้ออก เราเองคงต้องล้มลงใต้คมดาบนี้ เช่นนี้จะล้างแค้นได้อย่างไร" ทันใดนั้นเอง ราวกับความโศกเศร้าทั้งโลกหล้าทับถมเข้ามา มันล้มกายลงนอนช้าๆ รู้สึกไม่อยากลุกขึ้นมาอีก ในใจนึกถึงนาง นึกถึงวันแรกที่พบพานนางเพราะมันเข้ามาหลบฝนที่เก๋งแห่งนี้ นางถือถ้วยสุราในมือ จิบช้าๆ มองสายฝน ช่างงดงามดั่งภาพวาด ที่แฝงความรันทดจนหัวใจสลาย
เมื่อมันเข้ามา นางมองมาที่มัน ถามว่า "ท่าน คือ คนที่ข้ารอคอยหรือไม่" นับแต่นั้น ชีวิตและวิญญาณของมันก็กลายเป็นของนาง มันเรียนรู้ว่านางเป็นธิดาของตระกูลเทพกระบี่อันดับหนึ่ง ทุกวันมี คุณชายตระกูลใหญ่มากมายหวังสู่ขอนาง หากแต่นางไม่พึงใจผู้ใด ในใจเสมือนกำลังรอคอยคนผู้หนึ่งเสมอมา นางบอกว่าจนพบมันแล้ว ความรู้สึกนั้นก็หายไป คิดถึงนางแล้ว คล้ายมีโลหิตหยดหยาดในหัวใจของมัน ช้าๆ
ทันใดนั้นเอง คล้ายสายฟ้าวูบหนึ่งผ่านมาในจิตใจของมัน
"มีเพียงรักเท่านั้น ที่สามารถดึงชีวิตกลับออกมาจากความตายได้"
มันกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาบลอยออกจากเสากลับมาในมือมัน มันเริ่มใช้ดาบนั้นอีก ในเก๋งกลับเย็นยะเยือกไร้ชีวิต ดั่งอากาศรอบข้างผนึกแข็งตัว ในใจมันเปี่ยมความรันทดคับแค้น จากนั้นในใจมันเริ่ม คิด ถึงนาง ความงามแห่งดวงตา เสียงของนาง ภาพนางที่เดินคู่กับมันท่ามกลางบุปผาวสันต์
จากรันทดเป็นรัก เพลงดาบกลับพลิกแพลงอีก กลายเป็นนุ่มนวล งดงาม แพรวพราย คล้ายหลุดพ้นจากห้วงแห่งสามัญโดยสิ้นเชิง เสมือนกับไม่มีในโลก จากอดีตกาลจวบจนปัจจุบัน
ทันใดนั้น ทุกสิ่งสงบลง เห็นชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่กลางเก๋ง แววตาเปล่งประกายกล้า "ในที่สุด ควบคุมได้แล้ว มีรักเท่านั้นจึงบันดาลชีวิตเข้าสู่เพลงดาบแห่งความตายนี้" มันรู้ว่าด้วยเพลงดาบนี้หากฝึกปรือจนแตกฉาน ย่อมสามารถเสี่ยงชีวิตกับเพลงกระบี่เทพเจ้าได้สักครา
มันรำพึงขึ้นช้าๆ "ฟังเสียงฝนในหอน้อย เพียงเดียวดาย น่ารันทดนัก"
"หากจะล้มหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ข้าต้องใช้คนอีกมาก" พูดจบ ไม่รอให้ฝนหยุดตก มันเดินออกจากศาลาไปอย่างช้าๆ
สามเดือนให้หลัง ในยุทธจักรปรากฎพรรคใหม่ขึ้น พรรคสุริยันจันทรา
**********************
หมายเหตุ
อาวุธที่มีชื่อเสียงอันหนึ่ง คือ ดาบของพรรคสุริยันจันทราที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพรรคอสูร ดาบนี้เป็นดาบโค้งที่ตัวดาบสลักข้อความว่า ฟังเสียงฝนในหอน้อยเพียงเดียวดาย ดาบนี้มาพร้อมกับเพลงดาบวงพระจันทร์ไร้ผู้ต้าน บัญญัติโดยประมุขพรรครุ่นแรก ที่หลบหนีจากยุทธจักรหลังการประลองกับเจี่ยเฮียวฮง คุณชายสามแห่งตระกูลเจี่ย ทั้งหมดมาจากเรื่อง ซาเสียวเอี้ย กับ เรื่อง อินทรีผงาดฟ้า ที่เป็นเรื่องของเต็งพ้งที่สืบทอดดาบวงพระจันทร์และฝึกจนประลองเสมอกับเจี่ยเฮียวฮงในภายหลัง เรื่องสั้นเรื่องนี้ แต่งเพื่ออธิบาย กำเนิดเพลงดาบ ทำไมพรรคสุริยันจันทราจึงเพาะความแค้นกับหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ไว้อ่านเล่นๆ ครับ เป็นตอนต้นของสองเรื่องที่กล่าวมา